อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
ภาวะปัจจุบัน
1. การผลิต ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 มีจำนวน 2,515,799 เมตริกตัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 63.6 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการใช้มาตรการต่างๆ ของรัฐ เช่น มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ธุรกิจภาคก่อสร้างทั้งภาคเอกชนและภาครัฐมีการฟื้นตัว รวมถึงการประกาศใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs)ต่างๆ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากที่สุดในไตรมาสนี้ คือ เหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 134.3 เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในภาคการก่อสร้าง ประกอบกับการเร่งโครงการขนาดใหญ่ต่างๆของภาครัฐและโครงการหมู่บ้านจัดสรรของภาคเอกชน ให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.3 เนื่องจากการใช้มาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมจากภาครัฐ ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเป็นอันดับสาม คือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 ปัญหาการผลิต
จากปัญหากำลังการผลิตล้นตลาด ทำให้เกิดการควบรวมกิจการกันระหว่างบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย (บริษัทเหล็กสยามและบริษัทเหล็กก่อสร้างสยาม) กับกลุ่ม เอน ที เอส สตีล โ ดยตั้งเป็นกลุ่มใหม่ชื่อว่า บ.มิลเลเนี่ยม สตีล ซึ่งจะผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวได้แก่เหล็กแท่งกลม เหล็กข้ออ้อย เหล็กลวดและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขนาดเล็ก การรวมตัวนี้ บ.มิลเลเนี่ยมสตีลจะมีชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย โดยกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยจะมีหุ้นในมิลเลเนี่ยมสตีลประมาณ 45% ส่วนที่เหลือประมาณ 55% จะถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นในกลุ่มเอน ที เอส เดิม เจ้าหนี้และบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน
2.1 ตลาดในประเทศ- ปริมาณการใช้ปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 มีจำนวน 4,458,662 ตัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เพิ่มขึ้น คือ ร้อยละ 51.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้เหล็กที่ผลิตได้ในประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้เพิ่มมากที่สุด คือเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 144.5 เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในครึ่งปีแรก ของปี 2545 มีจำนวน 8,055,122 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวมีปริมาณการใช้เพิ่มมากที่สุด2.2 ตลาดต่างประเทศ
2.2.1 การนำเข้า ปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2545 มีจำนวน 2,282,919 เมตริกตัน มูลค่าโดยรวมประมาณ 549,778,192 เหรียญสหรัฐฯ อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.59 และ 9.06 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป(Semi- Finished products) มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าเพิ่มมากที่สุด คือร้อยละ 52.28 เนื่องจากเป็นวัตถุดิบในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กทรงยาว โดยส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากประเทศยูเครนและรัสเซีย รองลงมาคือ เหล็กลวด เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.07 เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าเพิ่มเป็นอันดับสาม คือ เหล็กแผ่นเคลือบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.06 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าลดลงมากที่สุดคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลงร้อยละ 16.46 เนื่องจากการใช้มาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมจากภาครัฐ รองลงมาคือ ท่อเหล็ก ลดลงร้อยละ 13.73 รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2สำหรับปริมาณการนำเข้าในครึ่งปีแรก ของปี 2545 มีจำนวน 4,222,172 เมตริกตัน มูลค่าโดยรวมประมาณ 1,047,629,592 เหรียญสหรัฐฯ อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.65 และ 10.92 ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป และเหล็กลวด โดยมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 54.54 และ 27.87 ตามลำดับ สำหรับเหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นรีดร้อนมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการนำเข้าลดลง ร้อยละ 22.27 และ 6.34 ตามลำดับ2.2.2 การส่งออกสถานการณ์ปี 2552ปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2545 มีจำนวน 340,056 เมตริกตัน มูลค่าโดยรวม 120,278,821.67 เหรียญสหรัฐฯ อัตราการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและมูลค่าการส่งออกมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น คือ ร้อยละ 11.01 และ 0.47 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้จะเห็นว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการแข่งขันทางการค้าของอุตสาหกรรมเหล็ก ประเทศผู้ส่งออกจึงนำกลยุทธ์ทางด้านการลดราคาเข้ามาใช้ ประกอบกับการใช้มาตรการกีดกันการนำเข้าของต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ เหล็กลวด เพิ่มขึ้นร้อยละ 358.29 โดยส่งออกไปยังประเทศลาว และอิสราเอล รองลงมาคือ ท่อเหล็ก เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.12 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงมูลค่าการส่งออกลดลงคือ ผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป(Semi-Finished products) ลดลงร้อยละ 97.37 เนื่องจากนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กขั้นกลางในประเทศมากขึ้น รองลงมาคือเหล็กแผ่นรีดร้อน ลดลงร้อยละ 82.51 เนื่องจากการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าของต่างประเทศ เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของประเทศสหรัฐอเมริกา(มาตรการ 201) และมาตรการ Safeguard ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย การผลิตปริมาณเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญปี 2552 มีปริมาณ 6,569,485 เมตริกตัน ( ไม่รวมผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบและท่อเหล็กเพื่อไม่ให้เกิด การนับซ้ำ ) ลดลง ร้อยละ 13.72 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนและเมื่อพิจารณาในราย ผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตลดลงมากที่สุดในช่วงนี้ คือ เหล็กแผ่นเคลือบชนิดอื่นๆ ลดลง ร้อยละ 48.40 รองลงมาคือเหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลง ร้อยละ 32.14 และผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่ง สำเร็จรูป ลดลง ร้อยละ 30.40 โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งในและ ต่างประเทศ จึงมีผลทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องซึ่งเป็นผู้ใช้เหล็กที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า มีความต้องการใช้เหล็กลดลง การใช้ในประเทศปริมาณการใช้เหล็กและเหล็กกล้าในประเทศที่สำคัญใน ปี 2552 ประมาณ 8,955,082 เมตริกตัน ลดลง ร้อยละ 26.45 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศของเหล็กทรงแบนที่ลดลง ร้อยละ 26.76 และเหล็กทรงยาวที่ลดลง ร้อยละ 25.94การนำเข้ามูลค่าและปริมาณการนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าที่สำคัญใน ปี 2552 มีจำนวนประมาณ173,043 ล้านบาทและ 6,946,241 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการนำเข้าลดลง ร้อยละ 48.39 และ 32.20 ประเทศที่มีการนำเข้ามากที่สุด ไ ด้แก่ ประเทศญี่ปุ่นและรัสเซีย ผลิตภัณฑ์ที่มี มูลค่าการนำเข้าลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เ หล็กแผ่นบางรีดร้อน (HR sheet) ลดลง ร้อยละ 64.95 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อนชนิดผ่านการกัดล้างและชุบน้ำมัน (HR sheet P&O) ลดลงร้อยละ 58.44 และผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป ชนิดอื่นๆ ลดลง ร้อยละ 57.44ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เหล็กแท่งแบน (Slab) มีมูลค่า25,210 ล้านบาท รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน มีมูลค่า 18,410 ล้านบาท การส่งออก มูลค่าและปริมาณการส่งออกเหล็กและเหล็กกล้าในปี 2552 มีจำนวนประมาณ 36,599ล้านบาท และ 1,354,448 เมตริกตัน โดยมูลค่าและปริมาณการส่งออก ลดลง ร้อยละ 50.90และ 37.89 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงมากที่สุดในช่วงนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กแผ่นหนารีดร้อน ลดลง ร้อยละ 82.77 และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้าลดลง ร้อยละ 74.47 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ท่อเหล็กมีตะเข็บ มีมูลค่า 9,007 ล้านบาท รองลงมาคือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน มีมูลค่า 4,334 ล้านบาท และเหล็กแผ่นบางรีดร้อน มีมูลค่า 4,015 ล้านบาท ตามลำดับการส่งออกและนำเข้า อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในไทยยังไม่มีผู้ผลิตครบวงจร โดยจะมีเพียงผลิตภัณฑ์เหล็กอุตสาหกรรมกลางน้ำและอุตสาหกรรมปลายน้ำเท่านั้น โดยการส่งออกในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้ามีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะตลาดหลัก คือ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และตลาดใหม่ที่สามารถส่งออก ได้แก่ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เวียดนาม อินเดีย และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2553 จะมีการนำเข้าเหล็กชนิดต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเพราะปริมาณเหล็กคงคลังในประเทศไทยยังมีไม่มาก เนื่องจากไม่มีการกักตุนรวมทั้งมีกำลังการผลิตน้อยและขาดการส่งเสริมจากภาครัฐตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างเป็นระบบ
แนวโน้มปี2553
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในปี 2553 เมื่อเทียบกับปี 2552” คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ” เช่นอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีการฟื้นตัวขึ้นเช่นกันซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้เหล็กมากยิ่งขึ้นคาดว่าความต้องการใช้เหล็กของปี 2553 จะอยู่ในช่วง 10.98 – 12.57 ล้านตัน ภาวะอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า มีแนวโน้มว่าจะทรงตัวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก ตลอดจนมาตรการเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศของภาครัฐ เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD/CVD) และการสนับสนุนให้มีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) เช่น มาตรการตรวจสอบมาตรฐานการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ตนเองต่อเนื่องด้วย
2.1 ตลาดในประเทศ
ปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 มีจำนวน 4,458,662 ตัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เพิ่มขึ้น คือ ร้อยละ 51.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้เหล็กที่ผลิตได้ในประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้เพิ่มมากที่สุด คือเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 144.5 เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในครึ่งปีแรก ของปี 2545 มีจำนวน 8,055,122 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะเหล็กทรงยาวมีปริมาณการใช้เพิ่มมากที่สุด
แนวโน้มปี2553
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศในปี 2553 เมื่อเทียบกับปี 2552” คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ” เช่นอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีการฟื้นตัวขึ้นเช่นกันซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้เหล็กมากยิ่งขึ้นคาดว่าความต้องการใช้เหล็กของปี 2553 จะอยู่ในช่วง 10.98 – 12.57 ล้านตัน
แหล่งที่มา http://strategy.dip.go.th/
วิเคราะห์ swot
จุดแข็ง 1. มีการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในการผลิต
2. บุคลากรมีความพร้อมที่จะรับการเรียนรู้ในเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ
3. อุตสาหกรรมมีแหล่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความได้เปรียบในการกระจายผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน จุดอ่อน 1.ขาดแคลนการผลิตแร่เหล็กทำให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องนำเข้าเหล็กต้นน้ำเกือบทั้งหมดเพื่อผลิตเหล็กกลางน้ำและเหล็กปลายน้ำ2. ผู้ประกอบการขาดความต่อเนื่องเชื่อมโยงในระบบการผลิต
3. อุตสาหกรรมมีการใช้กำลังการผลิตของเครื่องจักรไม่เต็มประสิทธิภาพและมีการใช้กระบวนการผลิตที่ไม่เหมาะสมทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูง 4. ขาดกลไกในการแก้ไขปัญหาการทุ่มตลาดและข้อกีดกันทางการค้าอย่างทันท่วงที5. ขาดแคลนแรงงานและโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพเพียงพอ
6. ขาดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนจากภาครัฐ โอกาส 1. อัตราการบริโภคเหล็กต่อตัวยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก เนื่องจากขณะนี้อัตราส่วนดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการบริโภคเหล็กต่อหัวในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่น (ภายนอก/ภายใน) 2. ผลิตภัณฑ์เหล็กสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุทดแทนผลิตภัณฑ์อื่นเช่น คอนกรีตและไม้อุตสาหกรรมเหล็กและแนวโน้มในการพัฒนาไปสู่รูปแบบใหม่ๆก็ได้ อุปสรรค 1. อุตสาหกรรมเหล็กต้องใช้เงินลงทุนสูง และต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบ เทคโนโลยี และอุปกรณ์การผลิตจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
2. โครงสร้างภาษีและขั้นตอนศุลกากรของไทยมีความยุ่งยากและซับซ้อนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ 3. การแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น และการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าและการทุ่มตลาดจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อาทิ ญี่ปุ่นและจีน เป็นต้น
2. บุคลากรมีความพร้อมที่จะรับการเรียนรู้ในเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ
3. อุตสาหกรรมมีแหล่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมจึงทำให้เกิดความได้เปรียบในการกระจายผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน
3. อุตสาหกรรมมีการใช้กำลังการผลิตของเครื่องจักรไม่เต็มประสิทธิภาพและมีการใช้
6. ขาดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนจากภาครัฐ
2. โครงสร้างภาษีและขั้นตอนศุลกากรของไทยมีความยุ่งยากและซับซ้อนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ
ตัวหนังสือใหญ่อ่านง่ายมากๆๆๆๆๆๆ
回覆刪除เนื้อหาดี อ่านง่าย รูปแบบสวย
回覆刪除Your article is confusing.
回覆刪除Find a new one and I want export news.
เนื้อหาดีมีรูปภาพประกอบ การจัดวางดี
回覆刪除อาจารย์ค่ะ หนูแก้ไขแล้วนะคะ
回覆刪除